วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มาดูกันว่ารายได้เพียงพอกับรายจ่ายหรือไม่ และออมเงินกันอย่างไร



'ออมสิน'ชี้ฐานรากดีขึ้น พบ58%ไร้เงินออม-หวังรัฐกระตุ้นเพิ่ม


ธนาคารออมสิน สำรวจดัชนีความเชื่อเศรษฐกิจฐานราก (gsi) จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาททั่วประเทศ จำนวน 1,526 ราย


สำหรับไตรมาส 3 ปี 2559 ระบุมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากไตรมาส 2/59 โดยเชื่อมั่นรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นช่วงปลายปีนี้ ขณะท่ี่สำรวจพบกว่า 58%ไม่มีเงินออม พร้อมเรียกร้องรัฐบาลดูแลราคาสินค้าที่จำเป็น  รวมทั้งหาอาชีพเสริมและเพิ่มสวัสดิการให้ผู้มีรายได้น้อย
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (gsi) ประจำไตรมาส 3 ปี 2559 พบว่า ส่งสัญญาณดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 49.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ปี 2559 ที่อยู่ระดับ 44.1 


โดยประชาชนระดับฐานรากรู้สึกว่ามีความมั่นใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในอนาคตว่าจะปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการคาดหวังว่ารัฐบาลจะเน้นการใช้จ่ายเพื่อ การลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จึงทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบใกล้เคียงปกติ (ระดับ 50)
      “การที่ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากต่อสถานการณ์ใน 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 45.9 ใน ไตรมาสที่ 2 ปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 51.8 ในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนระดับฐานรากส่วนใหญ่ มีความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วง6 เดือนข้างหน้าในระดับที่ดี เนื่องจากคาดหวังว่ารัฐบาลจะเน้นการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี"
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นใน ด้านต่างๆ เทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2559 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านการจับจ่ายใช้สอย การหารายได้ การออม ภาวะเศรษฐกิจ และการหางานทำ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนด้านภาระหนี้สินปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก คาดการณ์ว่าการบริโภคของภาคประชาชนน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของการบริโภคน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 เป็นต้นไป ถ้าสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกคลี่คลายลง และประสิทธิภาพของการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยฯ ยังได้สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมและทัศนคติเกี่ยวกับการใช้จ่ายของประชาชนระดับฐานราก โดยเมื่อสอบถามถึงลักษณะของรายได้หลักในปัจจุบัน จากการสำรวจ พบว่า เกินกว่าครึ่ง หรือ 60.9% ได้รับรายได้เป็นรายเดือน รองลงมา 19.9% ได้รับรายได้ไม่แน่นอน ได้รับรายได้แบบเป็นรายวัน 17%  และรายสัปดาห์ 1.9%
ในส่วนของความถี่ในการรับรายได้หลัก พบว่าส่วนใหญ่ 79% ได้รับรายได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี ได้รับเมื่อมีผู้มาจ้าง18.8% และได้รับตามฤดูกาล โดยเฉลี่ยปีละ 2-3 ครั้ง 2.2% 
 ทั้งนี้ แหล่งที่มาของรายได้หลัก 3 อันดับแรก คือ
  1. รายได้ที่เป็นเงินค่าจ้าง 52.5%   
  2. จากการค้าขาย 29.2% และ 
  3. จากการรับจ้างไม่ประจำ 11.3%
สำหรับในส่วนของพฤติกรรมการออม จากการสำรวจ พบว่า เกินกว่าครึ่งหรือ 58.4% ไม่มีการออม ส่วนอีก 41.6% มีการเก็บออม โดยอัตราการออมเฉลี่ยอยู่ที่ 15.4%  ของรายได้ 
เมื่อถามถึงการทำบัญชี รายรับ-รายจ่าย พบว่า ส่วนใหญ่หรือ 72.1% ไม่มีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และ มีเพียง 27.9% ที่มีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และเมื่อสอบถามถึงการเป็นสมาชิกกองทุนที่เกี่ยวกับการออม พบว่า ครึ่งหนึ่ง หรือ 51.3% ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุน ใดเลย ส่วนกองทุนที่เป็นสมาชิกมากที่สุด คือ กองทุนประกันสังคม 37.3%
เมื่อถามถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายในปัจจุบัน จากการสำรวจ พบว่า 61.9% มีรายได้เพียงพอกับรายจ่าย ส่วนอีก 38.1% มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย โดยพฤติกรรมการใช้จ่าย 4 อันดับแรกคือ ค่าอาหารและเครื่องดื่ม 30.3% ค่าที่อยู่อาศัย 18.5% ค่าสาธารณูปโภค 13.4% และค่าเดินทาง 11.4%
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามวิธีการแก้ไข กรณีที่รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย 4 อันดับแรก คือ ลดค่าใช้จ่าย ,หารายได้เสริม, กู้ยืมนอกระบบ,และกู้ยืมในระบบ โดยวิธี การลดค่าใช้จ่าย 3 อันดับแรก คือ ค่าใช้จ่ายที่มาจากอาหารและเครื่องดื่ม 28.2% ค่าไฟฟ้า/ ค่าน้ำ 15.2% และค่าเดินทาง 12.1%
 ผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความต้องการให้รัฐบาลดำเนิน การช่วยเหลือในเรื่องของการเพิ่มรายได้/ลดค่าใช้จ่าย จากการสำรวจ พบว่า 3 อันดับแรกที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยดำเนินการ คือ ควบคุมราคาสินค้าจำเป็น 39.4% การหาอาชีพเสริมให้ 27% และการให้สวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อย 13.8%
  สำหรับพฤติกรรม การใช้จ่ายบางส่วนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และมีวิธีการแก้ไขปัญหาโดยการลดค่าใช้จ่าย การหารายได้เสริม และการกู้ยืมใน/นอกระบบ ในขณะที่สถาบันการเงินอย่างธนาคารออมสินก็พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าด้วยวิธีการปรับตารางเวลาการผ่อนชำระหนี้สินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และกำหนดมาตรการผ่อนปรนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ รวมทั้งสนับสนุนและให้ความรู้ทางการเงินแก่ผู้มีรายได้น้อยเพื่อสร้างวินัยในการใช้จ่าย     
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

KLASS Silom, คอนโดให้เช่า 1ห้องนอน 35ตรม. BTS ศาลาแดง

KLASS Silom 

คอนโดมิเนียมในย่านออฟฟิศถนนสาทร-สีลม ใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง
ที่ตั้ง : ติดถนนสีลม 3 , เชื่อมต่อสาทร BTS ช่องนนทรี 







Google map 
GPS : 13.72557, 100.53142




ผู้พัฒนาโครงการ :  พิพัฒน์ แอสเสท 
อาคารพักอาศัยสูง 8 ชั้น  จำนวน 1 อาคาร 
พื้นที่โครงการ     1 ไร่ 41 ตารางวา
จำนวนยูนิตทั้งหมด   176 ยูนิต 
พื้นที่จอดรถ  30% 
สิ่งอำนวยความสะดวก
  • ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง , กล้องวงจรปิด CCTV, รปภ, แม่บ้านอาคาร
  • สำนักงานนิติบุคคล, ทางออกฉุกเฉิน , Video call 
  • ที่จอดรถ (ชั้นใต้ดิน )  , ลิฟต์x2  
  • สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องออกกำลังกาย, ที่นอนอาบแดด, มีบริการอินเตอร์เนต , ล็อบบี้






แบบแปลนห้อง



ภาพห้องจริง















วิวจากในห้อง ทิศตะวันออก ชั้นที่ 8



ให้เช่าห้องชุดรายเดือน (สัญญาเช่า 1ปี) 

  • ขนาดห้อง  33 ตารางเมตร , ชั้นที่ 8 , ทิศตะวันออก, วิวโล่ง อากาศถ่ายเท 
  • แบบ 1 นอน, 1 ห้องน้ำ , ห้องครัวมีเคาน์เตอร์ครัว (อ่างล้างจาน), ระเบียง , ผ้าม่าน
  • โทรทัศน์, เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น, เครื่องทำน้ำอุ่น, เตาไฟฟ้า, เครื่องดูดควัน, ไมโครเวฟ
  • เตียงนอนขนาด 5 ฟุต,  โต๊ะข้างเตียง, โต๊ะเครื่องแป้ง, ตู้เสื้อผ้า, โซฟา, ชั้นวางโทรทัศน์, ชุดโต๊ะทานอาหาร, ตู้ใส่รองเท้า 
  • สัญญาเช่า 1 ปี 
  • เงินประกันค่าห้องชุดและเฟอร์นิเจอร์ภายใน  52,000 บาท 
  • ค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือน 
  • งดการเลี้ยงสัตว์ภายในห้องและอาคารชุด 
  • งดส่งเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน 
  • งดการสูบบุหรี่ในห้องชุด 
  • ปฏิบัติตามกฎระเบียบของอาคารชุด ออกโดยนิติบุคคล 

ราคาเช่า   26,000 บาท/เดือน ( เฉพาะค่าห้องและเฟอร์นิเจอร์) 



ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
เบอร์โทร. 086-3134409
LINE ID : houseforliving
Email: threeplushome@gmail.com
Facebook page : https://www.facebook.com/DebesteCondoBKK/

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ลงทุนคอนโดย่านทองหล่อ กำไรพุ่ง 13% ต่อปี




พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจ อสังหาริมทรัพย์ในซอยทองหล่อความต้องการพุ่งแรงเหลือขายไม่ถึง 5% เหตุพื้นที่พัฒนาโครงการใหม่เริ่มมีจำกัด แต่เป็นทำเลศักยภาพ ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ แหล่งช้อปปิ้ง และการคมนาคมสะดวก ส่งผลราคาขายต่อพุ่งแรง คอนโดมิเนียมราคาเพิ่มเฉลี่ยปีละ 13% ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดปล่อยเช่าคึกคักผลตอบแทนสูง 5% ต่อปี เหตุตอบโจทย์ความต้องการของชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น อเมริกา และเกาหลีใต้ ส่งผลทำเลทองหล่อขึ้นแท่นทำเลระดับท็อปตลอดกาล





นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า แม้ทำเลทองหล่อจะถือเป็นทำเลที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่จำนวนไม่มาก เนื่องจากมีความจำกัดในด้านพื้นที่ ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมามีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นปีละไม่เกิน 2 โครงการ บางปีไม่มีโครงการใหม่เลย ซึ่งจากการสำรวจพบว่าในเส้นทองหล่อปากซอยถึงท้ายซอยยังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยระดับ Super Luxury ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันในย่านทองหล่อ จำนวนอุปทานโครงการ High Rise มีรวมกว่า 1,800 ยูนิต ซึ่งเหลือขายเพียง 35 ยูนิต แต่จะมีโครงการที่เปิดขายในไตรมาส 4/2559 อีก 423 ยูนิต ส่วนราคาขายเฉลี่ยโครงการ High Rise ล่าสุดอยู่ที่ 300,000 บาทต่อตารางเมตร นอกจากนี้ยังพบว่าราคาคอนโดมิเนียมรีเซลที่ถูกนำกลับมาขายใหม่บางโครงการราคาปรับขึ้นจากวันเปิดตัว ถึง 80% เช่น โครงการควอทโทร บาย แสนสิริ (Quattro by Sansiri) และเอช คิว ทองหล่อ (HQ Thonglor)

สำหรับตลาดเช่าพบว่าผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) อยู่ในระดับที่ดี ล่าสุด Rental Yield อยู่ที่ 5% ต่อปี โดยได้อุปสงค์จากคนญี่ปุ่นมากสุดถึง 70% จากจำนวนห้องที่ปล่อยเช่า รองลงมาคือชาวอเมริกา เกาหลีใต้ และไทย เป็นต้น ซึ่งรูปแบบห้องที่นิยมมากที่สุดคือ 1 ห้องนอน ขนาด 50-55 ตารางเมตร ค่าเช่า 50,000-60,000 บาทต่อเดือน และ 2 ห้องนอนขนาด 75-85 ตารางเมตร ในราคา ค่าเช่า 65,000-85,000 บาทต่อเดือน หรือเฉลี่ย 1,000 บาทต่อตารางเมตร ดังนั้นหากจะกล่าวว่าทำเลทองหล่อเป็นทำเลที่ทั้งผู้ซื้อและผู้เช่าชาวต่างชาติต่างสนใจอยากถือครองและเข้าพักอาศัยเป็นอันดับต้นๆ ก็ว่าได้ เพราะด้วยศักยภาพของที่อยู่ในย่านใจกลางเมือง เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงมูลค่าอสังหาฯ ที่ยิ่งถือครองยิ่งเพิ่มมูลค่ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง


HQ Thonglor , condominium by Sansiri


ทั้งนี้ทองหล่อถือว่าเป็นทำเลคุณภาพใจกลางเมืองบนถนนสุขุมวิทตอนต้น แวดล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารหลากหลายรูปแบบ ที่ไม่เพียงเป็นสถานที่ฮอตฮิตสำหรับออกมาแฮงเอ้าท์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ด้วยความเป็นพื้นที่ใกล้เคียงศูนย์กลางธุรกิจ และเส้นทางคมนาคมที่สะดวกสบาย โดยมีคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่เปิดตัวมาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับดีมานด์ของผู้พักอาศัยในละแวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยของ J Avenue และ Market Place ไปจนถึงที่เปิดใหม่ล่าสุดอย่าง The Common ทองหล่อ, Maze ทองหล่อ และ 72 Courtyard ที่สร้างความคึกคัก และดึงดูดแก่ย่านที่ไม่เคยหลับไหลอย่างทองหล่อได้เป็นอย่างดี


J Avenue, Thonglor



Market Place, Thonglor



The Common, Thonglor 


72 Courtyard 


เพราะความครบครันในการใช้ชีวิตแบบพรีเมี่ยม ส่งผลให้อสังหาฯ ในพื้นที่นี้ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีข้อจำกัดด้านที่ดินสำหรับการพัฒนาที่เหลือน้อยเต็มที ทั้งในพื้นที่ทองหล่อที่หาทำเลดีได้ยากขึ้น และราคาที่ดินมีการปรับตัวสูง อุปทานในพื้นที่ทองหล่อปัจจุบันจึงมีไม่มากนัก ซึ่งพบว่ามีโครงการ High Rise เปิดขายเพียง 1 โครงการ ราคาขายเฉลี่ยสูงถึง 300,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนโครงการอื่นปิดการขายได้หมดแล้ว จึงเป็นเหตุผลให้อสังหาริมทรัพย์ในย่านนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแม้ราคาอสังหาริมทรัพย์ย่านนี้จะแพงขึ้น แต่ก็มีความต้องในกลุ่มคนระดับบนอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากกลุ่มชาวไทยและต่างชาติ และที่ดินในย่านทองหล่อยังเป็นที่ต้องการของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเห็นได้จากมีการซื้อที่ดินหลายๆ แปลง ในราคาสูงเพื่อนำมาพัฒนาเป็นคอนโดนมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักซ์ชั่วรี่ อาทิ โครงการ เทลล่า ทองหล่อ (Tela Thonglor) ตารางวาละ 1,100,000 บาท, เดอะแบงค็อก ทองหล่อ (The Bangkok Thonglor) ตารางวาละ 2,000,000 บาท, ลาวีค สุขุมวิท 57 (LAVIQ Sukhumvit 57) ตารางวาละ 1,200,000 บาท และ บีทนิค (BEATNIQ) ตารางวาละ 1,300,000 บาท


Tela Thonglor by Kasorn property 

Khun by You ( inspired by Starck ) by Sansiri

The Bangkok Thonglor by LH


"ถึงแม้ว่าราคาจะแพงขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังมีอัตราดูดซับสูง และจากการสำรวจคอนโดมิเนียมที่ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารอยู่พบว่าภาพรวมมีความหนาแน่นโดยเฉลี่ยประมาณ 80% จึงถือว่าทองหล่อเป็นทำเลที่คุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน" นายอนุกูล กล่าว

ที่มา : http://www.ryt9.com/s/prg/2530348



บทความที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจ 

The Clover Thonglo, รถไฟฟ้าBTS ทองหล่อ คอนโดให้เช่า1ห้องนอน

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บทบาทเครดิตบูโรและประสิทธิภาพเศรษฐกิจ



นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนว่า วิทยากรบรรยายในที่สาธารณะท่านหนึ่งยื่นเอกสารต่อฝ่ายกงสุลประจำสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เพื่อขอวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาแล้วพบว่าไม่ผ่านการพิจารณาด้วยหลักฐานทางการเงินไม่น่าเชื่อถือหรือไม่เพียงพอ เนื่องจากไม่ได้ทำงานประจำ นอกจากนี้เพิ่งทราบว่ามีชื่อติดเครดิตบูโร จากการที่ไปร่วมกับเพื่อนซื้ออาคารและถอนตัวออกมา คนที่รับช่วงอาจมีปัญหาในการผ่อนจึงทำให้ติดเครดิตบูโรและมีชื่อไปเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯ ไม่อนุมัติวีซ่าเนื่องจากพิจารณาตามหลักเกณฑ์การอนุมัติที่กำหนดไว้ 


นายสุรพล กล่าวว่า ทางเครดิตบูโรไม่ได้นิ่งนอนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และทีมงานได้ติดต่อไปยังวิทยากรดังกล่าวเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เครดิตบูโรไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเอกสารการยื่นขอวีซ่า เนื่องจากการขอวีซ่าของสหรัฐอเมริกานั้นไม่ต้องยื่นหลักฐานแสดงรายงานข้อมูลเครดิตหรือรายงานเครดิตบูโร การพิจารณาให้ผู้ขอยื่นวีซ่าของสหรัฐอเมริกาจะมุ่งเน้นหลักฐานที่แสดงความผูกพันกับประเทศที่ผู้ขอวีซ่าที่ถือสัญชาติอยู่ หลักฐานแสดงความผูกพัน ได้แก่ เอกสารรับรองการทำงาน เอกสารทางการเงิน (รายละเอียดบัญชี) เอกสารรับรองทางการศึกษา
“เครดิตบูโรมีหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลเครดิต ซึ่งมีทั้งประวัติการชำระหนี้ที่ดีและไม่ดี ตามที่สถาบันการเงินหรือบริษัทที่เป็นสมาชิกส่งให้เท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่ขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) หรือติดเครดิตบูโร อย่างที่เข้าใจผิดกัน ในเครดิตบูโรไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า Blacklist หรือติดเครดิตบูโร แต่อย่างใดทั้งสิ้น จริงๆ แล้ว Blacklist หรือติดเครดิตบูโร คือความรู้สึกของตัวเราเองกับสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นผลร้าย สิ่งที่เป็นผลเสียต่อตัวเรา ตัวเราเองไม่อยากให้ใครเขารู้-เขาเห็น ยิ่งเป็นคนที่เรากำลังพิจารณาเรื่องของเรา คนที่กำลังพิจารณาว่าจะให้-ไม่ให้อะไรที่เราขอ คนที่กำลังพิจารณาให้คุณ-ให้โทษกับเรา สิ่งที่เป็นผลเสียนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำเองในอดีตจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม”นายสุรพล กล่าว



นายสุรพล กล่าวว่า เพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยซึ่งตรงกับแนวทางและแนวนโยบายของเครดิตบูโร มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเครดิตบูโร รวมถึงการสร้างเสริมวินัยทางการเงินแก่สาธารณชนกรณีดังกล่าวถือเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ที่มีความประสงค์จะทำธุรกิจหรือจำเป็นต้องมีการกู้ร่วมกับบุคคลอื่น ซึ่งวินัยทางการเงินนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่มิควรละเลย หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเครดิตบูโร สามารถสอบถามหรือขอรับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ให้บริการปรึกษาเกี่ยวกับข้อมูลประวัติสินเชื่อผ่าน Call Center 0-2643-1250 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.30 น. หรือ เมล consumer@ncb.co.th หรือดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.ncb.co.th

รายงานโดย  นาตยา  เอนกธนะเศรษฐ์   สำนักข่าวทีนิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความคืบหน้ารถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-คูคต

"คีรี" เจ้าพ่อบีทีเอส เฉือน 10 ไร่เยื้องแดนเนรมิต ทุ่ม200ล้าน ตัดถนน 8 เลน แก้รถติดรัชโยธิน
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ  18 พฤศจิกายน 2559 

"คีรี กาญจนพาสน์" เจ้าพ่อบีทีเอส เฉือน 10 ไร่เยื้องแดนเนรมิต ทุ่ม 200 ล้านตัดถนน 8 เลน เชื่อมพหลโยธินทะลุวิภาวดีฯ แก้รถติดแยกรัชโยธิน เปิดใช้ฟรี ปีหน้าขึ้นโครงการอสังหาฯ 2 หมื่นล้าน ดึง "จีแลนด์-แสนสิริ" ร่วมทุน ผุดห้าง คอนโดฯหรู รับรถไฟฟ้าสีเขียว "หมอชิต-คูคต" ลุยต่อคอมเพล็กซ์หมื่นล้านอีก 2 ทำเล "พญาไท-จตุจักร" 
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังได้ร่วมทุนกับ บมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (จีแลนด์) สัดส่วน 50 : 50 จัดตั้งบริษัท เบย์วอเตอร์ จำกัด ประมูลซื้อที่ดินจากกรมบังคับคดี 48 ไร่ ที่เคยเป็นที่ตั้งโครงการบางกอกโดม ตรงข้ามแดนเนรมิตเดิม ด้วยวงเงิน 7,350 ล้านบาท เมื่อปี 2557

เฉือนที่ 10 ไร่ทำทางลัด

ล่าสุด ได้เริ่มพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในโครงการแล้ว พร้อมนำที่ดิน 10 ไร่ ช่วงระหว่างกลางก่อสร้างเป็นถนนขนาด 30 เมตร ประมาณ 7-8 ช่องจราจร เชื่อมการเดินทางจากถนนพหลโยธินซอย 19/1 ทะลุถนนวิภาวดีรังสิต ระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 200 ล้านบาท

ส่วนนี้จะเปิดให้ประชาชนใช้โดยไม่เก็บค่าผ่านทาง เพื่อเป็นเส้นทางลัด เลี่ยงรถติดบริเวณแยกรัชโยธิน ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะปิดการจราจร เพื่อรื้อสะพานสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) วันที่ 22 พ.ย.นี้เป็นต้นไป

"เรากำลังเร่งสร้างถนนให้เสร็จก่อน ให้คนได้ใช้ก่อนปีใหม่ ช่วยรัฐแก้ปัญหารถติด ส่วนการพัฒนาอสังหาฯจะเริ่มได้หลังจากนี้ มีแผนจะทำโครงการมิกซ์ยูส ทั้งห้างสรรพสินค้า ออฟฟิศและคอนโดมิเนียมเกรดเอ มูลค่าลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท" นายคีรีกล่าว

ผนึกแสนสิริ-จีแลนด์

นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง กล่าวเพิ่มว่า เมื่อตัดที่ดิน 10 ไร่สร้างถนนในโครงการไปแล้ว ที่ดินทำเลนี้จะเหลืออีก 38 ไร่ เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการใหม่ ร่วมทุนกับกลุ่มจีแลนด์ และอาจมีผู้ประกอบการรายอื่นสนใจเข้าร่วมด้วย

อาทิ บมจ.แสนสิริ ที่ร่วมทุนกับบีทีเอส พัฒนาคอนโดฯ "เดอะไลน์" ตามแนวรถไฟฟ้าไปแล้ว ก็สนใจจะร่วมพัฒนาที่แปลงนี้ด้วย เนื่องจากเป็นทำเลศักยภาพติดถนนพหลโยธิน และห่างจากสถานีพหลโยธิน 24 ของรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพียง 200 เมตร

"ที่มีขนาดใหญ่มาก ต้องทำแบบมิกซ์ยูสแน่นอน เราเปิดกว้างหากใครสนใจจะร่วมพัฒนา ไม่ว่าผู้ประกอบการด้านโรงแรม ออฟฟิศ หรือที่อยู่อาศัย ซึ่งแสนสิริก็สนใจ ตอนนี้ก็ร่วมกันลงทุนไปแล้ว 16 โครงการจาก 25 โครงการ มูลค่า 100,000 ล้านบาท"

เนรมิต 38 ไร่สู่มิกซ์ยูส

ด้านแหล่งข่าวใน บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง กล่าวว่า การที่บริษัทยอมเฉือนที่ 10 ไร่สร้างถนนขนาดใหญ่เป็นทางลัดการเดินทางนั้น เพราะต้องการเพิ่มมูลค่าที่ดิน หลังจากภาครัฐไม่มีแผนลงทุนในย่านนี้ ซึ่งในอนาคตทางกลุ่มบริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการดังกล่าวในรูปแบบมิกซ์ยูส เป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่มีทุกอย่างครบ ทั้งแหล่งช็อปปิ้ง แหล่งงาน ร้านอาหาร ที่อยู่อาศัย มีถนนให้สัญจร และทางเชื่อมรถไฟฟ้า

"ถนนจะสร้างใหญ่เท่ากับถนนพหลโยธิน จะเปิดให้ประชาชนใช้ก่อน ส่วนจะยกให้รัฐหรือเก็บค่าใช้ทางหรือไม่ อยู่ที่นโยบายผู้บริหาร ตอนนี้คุณคีรีคิดคอนเซ็ปต์กว้าง ๆ ไว้แบบนี้ เหมือนเมืองทองธานีที่ตัดถนนและพัฒนาเป็นเมืองขึ้นมา"

ได้ฤกษ์ลุย 2 ทำเลทอง

นอกจากนี้ นายกวินเปิดเผยอีกว่า ในเร็ว ๆ นี้จะลงทุนพัฒนา 2 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท แปลงแรกเป็นที่ดินพญาไทติดรถไฟฟ้าบีทีเอส พื้นที่ 6 ไร่เศษ จะร่วมกับ บมจ.ยู ซิตี้ (บมจ.แนเชอรัลพาร์คเดิม) พัฒนาเป็นมิกซ์ยูสคอมเพล็กซ์ สูง 50 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 100,000 ตารางเมตร มีร้านค้า สำนักงานเกรดเอ โรงแรม อาคารจอดรถ มูลค่า 6,000 ล้านบาท อีก 3 เดือนจะเริ่มตอกเสาเข็ม ใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี กำหนดเสร็จปลายปี 2563

แปลงที่ 2 เป็นที่ดินจตุจักร-หมอชิต ยังเหลือ 11 ไร่เศษ จากการพัฒนาคอนโดฯเดอะไลน์ บริษัทจะลงทุนเองทำเป็นอาคารประเภทมิกซ์ยูสคอมเพล็กซ์ สูง 40-50 ชั้น เท่ากับตึกทหารไทย จำนวน 2 อาคาร พื้นที่ใช้สอยรวม 100,000 ตร.ม. ที่นี่จะมีทุกอย่าง ระหว่างนี้รอการอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปลายปี 2560 ใช้เวลา 42-48 เดือน ตามแผนจะแล้วเสร็จปลายปี 2564



เริ่ม 22 พ.ย.นี้ ทดลองปิดสะพานรัชโยธิน ปิดจริง 26 พ.ย.ยาว 2 ปี แนะใช้ 5 เส้นทางเลี่ยง



16  พฤศจิกายน 2559 

นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า การปิดการจราจรบนสะพานรัชโยธิน จะแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 1) วันอังคารที่ 22 และวันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2559 ปิดการจราจรตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึงเวลา 15.00 น 
2) วันพฤหัสบดีที่ 24 และวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2559 ปิดการจราจรตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึงเวลา 17.00 น.และ 3) วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2559 ปิดเพื่อรื้อสะพานรัชโยธิน ตั้งแต่เวลา 01.00 น. เป็นต้นไป

และเพื่อลดผลกระทบด้านการจราจรอันเนื่องมาจากการปิดรื้อสะพานรัชโยธินดังกล่าวให้น้อยที่สุด รฟม.ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อปรับขยายช่องทางจราจรทางราบบนถนนรัชดาภิเษกบริเวณสี่แยกรัชโยธิน ทั้งฝั่งขาเข้าและขาออก เพิ่มอีก 1 ช่องทาง รวมเป็น 3 ช่องทาง และทำช่องกลับรถเพิ่มในถนนรัชดาภิเษกฝั่งศาลอาญา ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพของทางราบให้สามารถรองรับจำนวนรถยนต์ได้มากขึ้น




นอกจากนี้ รฟม.ยังได้ประชาสัมพันธ์เส้นทางเลี่ยงให้กับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนได้รับทราบล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าสู่พื้นที่ก่อสร้างบริเวณสี่แยกรัชโยธิน 5 เส้นทาง ดังนี้

เส้นทางที่ 1 ใช้ทางเลี่ยงเข้าสู่ซอยพหลโยธิน 21 ออกไปยังซอยวิภาวดี 30

เส้นทางที่ 2 ใช้ทางเลี่ยงเข้าสู่ซอยพหลโยธิน 23 ออกไปยังซอยวิภาวดี 32

เส้นทางที่ 3 ใช้ทางเลี่ยงเข้าสู่ซอยรัชดาภิเษก 46 ออกไปยังซอยพหลโยธิน 33

เส้นทางที่ 4 ใช้ทางเลี่ยงเข้าสู่ซอยรัชดาภิเษก 48 และ 46/1 ออกไปยังซอยพหลโยธิน 35

เส้นทางที่ 5 ใช้ทางเลี่ยงเข้าสู่ซอยพหลโยธิน 30 ออกไปยังซอยรัชดาภิเษก 36, 32, 30

โดยเป็นตามแผนดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-คูคตจะมีการก่อสร้างทางวิ่งรถไฟฟ้ายกระดับช่วงระหว่างสถานีรัชโยธินกับสถานีพหลโยธิน 24 ที่ตัดผ่านสี่แยกรัชโยธินและสะพานรถยนต์ข้ามแยกในแนวถนนพหลโยธิน จึงมีความจำเป็นต้องรื้อสะพานรถยนต์ข้ามแยกรัชโยธินออก

ซึ่งทาง รฟม.มีแผนก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดทางแยกในแนวถนนรัชดาภิเษกทดแทน ควบคู่กับการก่อสร้างสะพานรถยนต์ข้ามแยกในแนว ถนนพหลโยธินโดยใช้โครงสร้างเดียวกันกับทางวิ่งยกระดับของรถไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับการจราจรที่บริเวณแยกรัชโยธินทั้ง 2 ทิศทาง อันเป็นการแก้ปัญหาจราจรบริเวณสี่แยกรัชโยธินได้อย่างยั่งยืน โดยจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการให้สั้นที่สุดในการปิดการจราจรระหว่างดำเนินการก่อสร้างโครงการ คาดว่าใช้เวลาดำเนินการ 2 ปี

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  






วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความคืบหน้า 2 เส้นทาง รถไฟฟ้าสีชมพู สายสีเหลือง สายสีส้ม

ที่ดินแนวรถไฟฟ้าพุ่งเท่าตัว ‘ชมพู-เหลือง-ส้ม’ร้อนแรง

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ 18 พฤศจิกายน 2559 



เปิดทำเลทองจุดตัด จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าใหม่ 3 สาย “สีชมพู-เหลือง-ส้ม” ผู้เชี่ยวชาญอสังหาฯแนะจับตาเมืองทองธานี, วงเวียนหลักสี่, ลาดพร้าว,พัฒนาการ, ลำสาลี, มีนบุรี, สำโรง ราคาที่ดินวิ่ง บางทำเลปรับเพิ่มเกือบเท่าตัว
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กำลังเดินหน้าเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPP) ล่าสุดขายเอกสารประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี(งานโยธา) ระยะทาง 21.2 กม. วงเงิน79,726.43 ล้านบาท เปิดรับซองวันที่31 ตุลาคม ที่ผ่านมา
รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม. วงเงิน 53,490 ล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง29.1 กม. วงเงิน 51,810 ล้านบาท โดย2 โครงการหลัง กำหนดเปิดรับซองไปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยจะใช้เวลาในการพิจารณาข้อเสนอ 3เดือน ก่อนจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ทั้งนี้ ตามแผนรถไฟฟ้าสายสีส้มคาดว่าจะลงนามและก่อสร้างได้ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2560 ส่วนสายสีชมพูและสีเหลือง จะลงนามและก่อสร้างได้ในเดือนเมษายน 2560
นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์ จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์และผู้เชี่ยวชาญด้านประเมินทรัพย์สิน เปิดเผยว่า ในโครงการรถไฟฟ้า 3 สายใหม่ที่เปิดประมูลนั้น สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง เป็นเส้นทางที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะแนวเดินรถจะวิ่งผ่านจากถนนลาดพร้าวเข้าบางกะปิ และไปสิ้นสุดที่สำโรง ถือว่าเป็นเส้นทางใกล้เมืองเท่ากับสายสีน้ำเงินและแหล่งงาน นอกจากนี้ในอนาคตจะมีศูนย์คมนาคมย่านพหลโยธิน ทั้งนี้ ทำเลจุดตัด จุดเชื่อมที่น่าสนใจคือ รัชดาฯ-ลาดพร้าว โดยเฉพาะช่วงต้นๆลาดพร้าว ปัจจุบันราคาที่ดินติดถนนใหญ่ประมาณ 4-5 แสนบาทต่อตารางวา ในซอยประมาณ 2-3 แสนบาทต่อตารางวา แต่ปัญหาคือที่ดินหายาก
อีกทำเลที่น่าจับตาคือ ย่านพัฒนาการ ปัจจุบันมีบริษัทพัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ซื้อที่ดินแปลงใหญ่ขนาด 100 ไร่ ขึ้นโครงการหลายราย ผังเมืองย่านนี้ ย.4 เป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย สร้างคอนโดฯได้สูงไม่เกิน 8 ชั้น รวมไม่เกิน 1 หมื่นตารางเมตร ราคาที่ดินประมาณ 2.5 แสนบาทต่อตารางวาแต่ในอนาคตคาดว่าพื้นที่นี้อาจจะได้ปรับเป็นพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ย.5 หรือ ย.6

บทความที่เกี่ยวข้อง 

ขายที่ดินติดถนนศรีนครินทร์-แบริ่ง ติดรถไฟฟ้าสีเหลือง(ลาดพร้าวสำโรง)



“คีรี”ลั่นพร้อมชิงประมูล 2 เส้นทาง 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 





"คีรี" จับมือพันธมิตรชิงประมูลรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู คาดใช้เงินลงทุนกว่า 8 หมื่นล้าน พร้อมยื่นข้อเสนอพิเศษนอกเหนือทีโออาร์เชื่อม "อิมแพค"














บีทีเอส-ช.การช่างชิงดำรถไฟฟ้า 
รายงานข่าวจากรฟม.ระบุว่าผู้ยื่นข้อเสนอรายแรกคือ กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) ประกอบด้วยบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส กรุ๊ป ,บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)หรือ RATCH และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ส่วนรายที่ 2 คือบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม

โดยขั้นตอนต่อไปคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 35 จะพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การประเมินข้อเสนอและเปิดซองข้อเสนอในวันที่ 17 พ.ย. นี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ในการดำเนินการประเมินข้อเสนอและเจรจาต่อรองกับเอกชนผู้ชนะการคัดเลือก ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาได้ประมาณเดือน เม.ย. 2560

ใช้รูปแบบ“พีพีพี”ทั้ง2โครงการ

รายงานข่าว ระบุว่าสัมปทานของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู วงเงิน 53,519.50 ล้านบาท และสีเหลืองวงเงิน 51,931.15 ล้านบาท เป็นรูปแบบพีพีพี โดยรฟม. ลงทุนด้านการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนเอกชนผู้รับสัมปทานลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางโยธา ระบบเครื่องกลและไฟฟ้า (รถไฟฟ้ารางเดี่ยวแบบคร่อมราง) และให้บริการการจัดการเดินรถและบำรุงรักษา รวมถึงเป็นผู้จัดเก็บค่าบริการ(PPP Net Cost) ซึ่งมีระยะเวลาสัมปทาน 33 ปี 3 เดือน

ทั้งนี้ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือระยะที่ 1 งานออกแบบและก่อสร้างงานโยธา พร้อมระบบเครื่องกลและไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 3 ปี 3 เดือนและระยะที่ 2 งานให้บริการด้านบริหารจัดการการเดินรถและบำรุงรักษา เป็นระยะเวลา 30 ปี

รฟม.ยอมรับมีผู้เสนอน้อยราย

นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการ รฟม. กล่าวว่า รฟม.อยากเห็นจำนวนผู้ยื่นข้อเสนอและการแข่งขันมากกว่านี้ แต่การประมูลครั้งนี้ถือว่ามีผู้เข้าร่วมพอสมควร และยังเห็นผู้เล่นรายใหม่ๆ เข้ามาวงการ เช่น กลุ่มราชบุรี โฮลดิ้ง

ส่วนสาเหตุที่มีผู้ยื่นซองข้อเสนอโครงการรถไฟฟ้าสีชมพูและเหลืองน้อยราย คาดว่าเป็นเพราะเอกชนผู้รับสัมปทานต้องลงทุนทั้งด้านก่อสร้างและเดินรถ ส่งผลให้มีผู้คุณสมบัติและความสามารถในการลงทุนมีจำนวนไม่มาก

อีกทั้งบางรายพิจารณาว่าการลงทุนไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง เนื่องจากมีความเสี่ยงเรื่องระยะเวลาการก่อสร้างที่จำกัดและรายได้ที่ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสาร อีกทั้งเอกชนต้องอาศัยเงินอุดหนุนจากภาครัฐสูงสุดไม่เกิน 20,000 ล้านบาทจึงอาจทำให้มีกำไรไม่มาก

“คีรี”ลั่นพร้อมชิงประมูล 2 เส้นทาง

ด้านนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กล่าวว่าบริษัทมีความสนใจเข้าร่วมประมูลครั้งนี้ เสนอราคาที่ถูกต้องและด้วยประสบการณ์ ความชำนาญบริษัทจึงได้เสนอข้อเสนอพิเศษในการเชื่อมต่อของเส้นทางไปในจุดที่มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นข้อเสนอที่นอกเหนือจากทีโออาร์ที่กำหนดไว้

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีจุดแข็งคือเป็นผู้เดินรถลอยฟ้าที่มีความชำนาญและสามารถบริหารต้นทุนได้ดีกว่า นอกจากนี้ยังมีพาร์ทเนอร์ที่จะขายรถให้ในราคาต้นทุนที่ต่ำด้วย ในส่วนของบริษัทเองก็ได้เสนอราคาที่สมเหตุสมผลมาก โดยทั้งสองสายจะใช้เงินลงทุนกว่า 80,000 ล้านบาท

ยื่นข้อเสนอพิเศษเชื่อมต่อ 2 จุด

นายคีรี กล่าวว่าในส่วนของสายสีชมพู (แคลาย-มีนบุรี) บริษัทได้เสนอที่จะขยายเส้นทางเพิ่มเพื่อเชื่อมเข้าไปยังอิมแพค เมืองทองธานีระยะทางประมาณ 2-3 กิโลเมตร ซึ่งแผนเดิมไม่มีการเชื่อมต่อ ส่วนสายสีเหลืองบริษัทก็ได้จะขยายเส้นทางเพิ่มอีก2.6 กิโลเมตร บริเวณรัชดาแยกรัชโยธิน เพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว

“ข้อเสนอดังกล่าวแม้จะไม่อยู่ในทีโออาร์ แต่จากการศึกษาพฤติกรรมของคนจากการเดินทาง ทำให้เห็นว่าการขยายเส้นทางเหล่านี้ จะสามารถเพิ่มปริมาณผู้โดยสารได้ ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกว่าผู้โดยสารเดินทางไปไหนบ้าง ถือเป็นข้อเสนอพิเศษของบริษัท ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้โดยสารมากในการเดินทาง ผมมีความมั่นใจบริษัทมีความชำนาญบริหารต้นทุน และความชำนาญด้านการเดินรถเป็นอย่างดี”นายคีรี กล่าวและว่าในส่วนของแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ไม่เป็นปัญหาแน่นอน เพราะขณะนี้ธนาคารต่างๆให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมเพราะต้องการให้โครงการลงทุนมีต้นทุนที่ต่ำ

ช.การช่างจับมือ BEM ร่วมประมูล

นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม กล่าวว่า บีอีเอ็ม ร่วมกับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ยื่นประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง โดยช.การช่างจะรับผิดชอบด้านงานโยธา ส่วน บีอีเอ็ม จะรับผิดชอบด้านการเดินรถตามที่ถนัด

“จริงๆ ทุกเรื่องมันมีความเสี่ยงทั้งนั้น แต่ถ้าเกิดเรามีความสามารถที่จะบริหารความเสี่ยงได้ ความเสี่ยงนั้นก็จะไม่มากมายสำหรับเรา การลงทุนแบบพีพีพี เนื่องจากมันมีข้อมูลที่รัฐก็เข้าใจว่ารัฐจะต้องสนับสนุนอย่างไรบ้าง จะเป็นการเยียวยาทำให้ความเป็นไปได้ทางธุรกิจมันเกิดขึ้น” นายสมบัติ กล่าว

สำหรับผู้ชนะการประมูลครั้งนี้ คือผู้ที่เสนอส่วนลดค่าชดเชยจากภาครัฐมากที่สุด เพราะฉะนั้น BEM จะเน้นโมเดลเรื่องการสร้างรายได้ เช่น การพัฒนาเชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้าซึ่งที่ผ่านก็ประสบความสำเร็จพอสมควร และการลดต้นทุนเพื่อแข่งขันกับรายอื่น


บทความที่เกี่ยวข้อง 


วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความคืบหน้ารถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี (สุวินทวงศ์)


จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,206 วันที่ 3 – 5 พฤศจิกายน 2559
7 กลุ่มบริษัทยื่นซองประกวดราคางานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) กลุ่ม ช.การช่างผนึกซิโน-ไทยฯ ส่วนอิตาเลียนไทยยื่นเดี่ยวไม่ร่วมทุนรายใด รฟม.คาดเซ็นสัญญา พ.ค. ปีหน้า
แหล่งข่าวระดับสูงแผนกสื่อสารองค์กร กองสื่อสารองค์กร สำนักผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้กำหนดให้ผู้ซื้อซองเอกสารประกวดราคางานโยธาฯยื่นข้อเสนอเอกสารประกวดราคางานโยธาฯโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออกช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย -มีนบุรี (สุวินทวงศ์) จำนวน 6 สัญญา ในวันที่ 31 ตุลาคม 2559
สำหรับรายละเอียดผู้ยื่นเอกสารประกวดราคาแต่ละสัญญามีดังนี้ สัญญา E1 UNDERGROUND CIVIL WORKS ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – รามคำแหง 12 ราคากลาง 20,735 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 1.กลุ่ม KST JOINT VENTURE โดยบริษัท ช.การช่าง จํากัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) 2.SY-UN JOINT VENTURE โดยบริษัท ซันยอง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัดและ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
สัญญา E2 UNDERGROUND CIVIL WORKS ช่วงรามคำแหง 12 – หัวหมาก ราคากลาง 21,604 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.กลุ่ม CKST JOINT VENTURE โดยบริษัท ช.การช่าง จํากัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) 2. SY-UN JOINT VENTURE โดยบริษัท ซันยอง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัดและบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) สัญญา E3 UNDERGROUND CIVIL WORKS ช่วงหัวหมาก – คลองบ้านม้า ราคากลาง 18,655 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.กลุ่ม CKST JOINT VENTURE โดยบริษัท ช.การช่าง จํากัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) 2. SY-UN JOINT VENTURE โดยมีบริษัท ซันยอง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัดและบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) 3. บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)

สัญญา E4 ELEVATED CIVIL WORKS ช่วงคลองบ้านม้า – สุวินทวงศ์ ราคากลาง 10,025 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.กลุ่มCKST JOINT VENTURE โดยบริษัท ช.การช่าง จํากัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) 2.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) สัญญา E5 DEPOT AND PARK & RIDE ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – สุวินทวงศ์ ราคากลาง 4,915 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.กลุ่ม CKST JOINT VENTURE โดยบริษัท ช.การช่าง จํากัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) 2. กลุ่ม CRCC-CNT JOINT VENTURE โดยบริษัท ไชน่าเรลเวย์ คอนสตรั๊คชั่น จำกัด และ บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) 4.บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และสัญญา E6 TRACKWORK ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – สุวินทวงศ์ ราคากลาง 3,790 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. CKST JOINT VENTURE โดยบริษัท ช.การช่าง จํากัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) 2.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
“ขั้นตอนต่อไป รฟม. จะดำเนินการเร่งเปิดซองข้อเสนอด้านคุณสมบัติด้านเทคนิค ด้านราคา (ซองที่ 3) และคาดว่าจะลงนามสัญญาว่าจ้างผู้รับจ้างงานโยธาได้ในเดือนพฤษภาคม 2560”