วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มาดูกันว่ารายได้เพียงพอกับรายจ่ายหรือไม่ และออมเงินกันอย่างไร



'ออมสิน'ชี้ฐานรากดีขึ้น พบ58%ไร้เงินออม-หวังรัฐกระตุ้นเพิ่ม


ธนาคารออมสิน สำรวจดัชนีความเชื่อเศรษฐกิจฐานราก (gsi) จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาททั่วประเทศ จำนวน 1,526 ราย


สำหรับไตรมาส 3 ปี 2559 ระบุมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากไตรมาส 2/59 โดยเชื่อมั่นรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นช่วงปลายปีนี้ ขณะท่ี่สำรวจพบกว่า 58%ไม่มีเงินออม พร้อมเรียกร้องรัฐบาลดูแลราคาสินค้าที่จำเป็น  รวมทั้งหาอาชีพเสริมและเพิ่มสวัสดิการให้ผู้มีรายได้น้อย
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (gsi) ประจำไตรมาส 3 ปี 2559 พบว่า ส่งสัญญาณดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 49.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ปี 2559 ที่อยู่ระดับ 44.1 


โดยประชาชนระดับฐานรากรู้สึกว่ามีความมั่นใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในอนาคตว่าจะปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการคาดหวังว่ารัฐบาลจะเน้นการใช้จ่ายเพื่อ การลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จึงทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบใกล้เคียงปกติ (ระดับ 50)
      “การที่ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากต่อสถานการณ์ใน 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 45.9 ใน ไตรมาสที่ 2 ปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 51.8 ในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนระดับฐานรากส่วนใหญ่ มีความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วง6 เดือนข้างหน้าในระดับที่ดี เนื่องจากคาดหวังว่ารัฐบาลจะเน้นการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี"
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นใน ด้านต่างๆ เทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2559 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านการจับจ่ายใช้สอย การหารายได้ การออม ภาวะเศรษฐกิจ และการหางานทำ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนด้านภาระหนี้สินปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก คาดการณ์ว่าการบริโภคของภาคประชาชนน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของการบริโภคน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 เป็นต้นไป ถ้าสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกคลี่คลายลง และประสิทธิภาพของการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยฯ ยังได้สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมและทัศนคติเกี่ยวกับการใช้จ่ายของประชาชนระดับฐานราก โดยเมื่อสอบถามถึงลักษณะของรายได้หลักในปัจจุบัน จากการสำรวจ พบว่า เกินกว่าครึ่ง หรือ 60.9% ได้รับรายได้เป็นรายเดือน รองลงมา 19.9% ได้รับรายได้ไม่แน่นอน ได้รับรายได้แบบเป็นรายวัน 17%  และรายสัปดาห์ 1.9%
ในส่วนของความถี่ในการรับรายได้หลัก พบว่าส่วนใหญ่ 79% ได้รับรายได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี ได้รับเมื่อมีผู้มาจ้าง18.8% และได้รับตามฤดูกาล โดยเฉลี่ยปีละ 2-3 ครั้ง 2.2% 
 ทั้งนี้ แหล่งที่มาของรายได้หลัก 3 อันดับแรก คือ
  1. รายได้ที่เป็นเงินค่าจ้าง 52.5%   
  2. จากการค้าขาย 29.2% และ 
  3. จากการรับจ้างไม่ประจำ 11.3%
สำหรับในส่วนของพฤติกรรมการออม จากการสำรวจ พบว่า เกินกว่าครึ่งหรือ 58.4% ไม่มีการออม ส่วนอีก 41.6% มีการเก็บออม โดยอัตราการออมเฉลี่ยอยู่ที่ 15.4%  ของรายได้ 
เมื่อถามถึงการทำบัญชี รายรับ-รายจ่าย พบว่า ส่วนใหญ่หรือ 72.1% ไม่มีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และ มีเพียง 27.9% ที่มีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และเมื่อสอบถามถึงการเป็นสมาชิกกองทุนที่เกี่ยวกับการออม พบว่า ครึ่งหนึ่ง หรือ 51.3% ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุน ใดเลย ส่วนกองทุนที่เป็นสมาชิกมากที่สุด คือ กองทุนประกันสังคม 37.3%
เมื่อถามถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายในปัจจุบัน จากการสำรวจ พบว่า 61.9% มีรายได้เพียงพอกับรายจ่าย ส่วนอีก 38.1% มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย โดยพฤติกรรมการใช้จ่าย 4 อันดับแรกคือ ค่าอาหารและเครื่องดื่ม 30.3% ค่าที่อยู่อาศัย 18.5% ค่าสาธารณูปโภค 13.4% และค่าเดินทาง 11.4%
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามวิธีการแก้ไข กรณีที่รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย 4 อันดับแรก คือ ลดค่าใช้จ่าย ,หารายได้เสริม, กู้ยืมนอกระบบ,และกู้ยืมในระบบ โดยวิธี การลดค่าใช้จ่าย 3 อันดับแรก คือ ค่าใช้จ่ายที่มาจากอาหารและเครื่องดื่ม 28.2% ค่าไฟฟ้า/ ค่าน้ำ 15.2% และค่าเดินทาง 12.1%
 ผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความต้องการให้รัฐบาลดำเนิน การช่วยเหลือในเรื่องของการเพิ่มรายได้/ลดค่าใช้จ่าย จากการสำรวจ พบว่า 3 อันดับแรกที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยดำเนินการ คือ ควบคุมราคาสินค้าจำเป็น 39.4% การหาอาชีพเสริมให้ 27% และการให้สวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อย 13.8%
  สำหรับพฤติกรรม การใช้จ่ายบางส่วนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และมีวิธีการแก้ไขปัญหาโดยการลดค่าใช้จ่าย การหารายได้เสริม และการกู้ยืมใน/นอกระบบ ในขณะที่สถาบันการเงินอย่างธนาคารออมสินก็พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าด้วยวิธีการปรับตารางเวลาการผ่อนชำระหนี้สินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และกำหนดมาตรการผ่อนปรนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ รวมทั้งสนับสนุนและให้ความรู้ทางการเงินแก่ผู้มีรายได้น้อยเพื่อสร้างวินัยในการใช้จ่าย     
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น